จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันศุกร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2562

ดอกดาหลาหลากสี พืชเศรษฐกิจตัวใหม่ตัดขายได้ตลอดปี สร้างรายได้งาม

ดอกดาหลาหลากสี พืชเศรษฐกิจตัวใหม่ตัดขายได้ตลอดปี สร้างรายได้งาม



   ศูนย์วิจัยพืชสวน จ.ตรัง แนะปลูก ดอกดาหลาหลากสี เป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ ตัดดอกขายได้ตลอดทั้งปี สร้างรายได้งาม 
   วันที่ 9 มกราคม 2561 ที่ศูนย์วิจัยพืชสวน จ.ตรัง ได้พัฒนาสายพันธุ์ดอกดาหลาซึ่งเป็นไม้พื้นเมืองภาคใต้ ให้เป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ที่ปลูกได้ทั้งกลางแจ้งและในที่ร่ม ดอกมีสีสันที่สวยงาม แข็งแรงและอยู่ได้นาน 7-10 วัน ใช้เวลาปลูกประมาณ 1 ปีก็จะเริ่มออกดอกต่อเนื่องตลอดทั้งปี
    เกษตรกรสามารถตัดขายได้ในราคาดอกละ 7-10 บาท โดยมีทั้งหมด 5 สี ใช้ชื่อว่าตรัง 1-ตรัง 5 ซึ่งพันธุ์ตรัง 1 ดอกจะมีสีขาว, ตรัง 2 ดอกสีบานเย็น, ตรัง 3 ดอกสีแดง,ตรัง 4 ดอกสีชมพูและตรัง 5 ดอกสีแดงเข้ม เกษตรกรสามารถปลูกแซมได้ทั้งในสวนยางพารา สวนปาล์มน้ำมันและอื่น ๆ โดยใช้ขนาดความกว้าง 3 คูณ 3 เมตร

   ทั้งนี้ ดอกดาหลา ใช้ประดับตกแต่งสถานที่และรับประทานเป็นผักสดกับข้าวยำ ชุบแป้งทอด ทำน้ำพร้อมดื่ม เหง้าใช้ปรุงอาหารได้ ขยายพันธุ์ง่ายคล้ายเหมือนพืชตระกูลข่า หรือนำเมล็ดสีน้ำตาลไปเพาะก็ได้ ที่สำคัญอย่าให้ขาดน้ำ เพราะดอกดาหลาชอบความชื้นในดิน ซึ่งในโอกาสสำคัญต่างๆ เช่นงานขึ้นบ้านใหม่ งานโรงเรียน งานประชุมสัมมนา จะทำให้ราคาของดอกดาหลาเพิ่มสูงขึ้น
   นอกจากจะให้สีสันที่สวยงามตลอดทั้งปีแล้ว ยังให้คุณค่าทางอาหารและประโยชน์ในด้านอื่นๆ อีกมากมาย โดยศูนย์วิจัยพืชสวนตรังกำลังเร่งเพาะชำต้นกล้าดอกดาหลาทั้ง 5 สีเพื่อจำหน่ายให้กับเกษตรกรที่สนใจและมองหารายได้เสริม โดยขายเพียงต้นละ 5 บาทเท่านั้น ส่วนเกษตรกรรายใดสนใจสามารถไปศึกษาดูงานได้ฟรี ที่ศูนย์วิจัยพืชสวนในวันและเวลาราชการ
   ซึ่ง นางชญานุช ตรีพันธ์ นักวิชาการเกษตรชำนาญการ ศูนย์วิจัยพืชสวนตรัง กล่าวว่า มีดาหลาแนะนำรวม 5 สีทั้งสีขาว สีชมพู สีบานเย็น สีแดงและสีแดงเข้ม ใช้เวลาปลูก 1-1.5 ปี ก็สามารถตัดดอกขายได้ในราคา 5-10 บาทแล้วแต่ฤดูกาล และตัดดอกขายได้ตลอดทั้งปี โดยระวังอย่าให้ขาดน้ำ ส่วนใครที่สนใจสามารถติดต่อซื้อต้นกล้าได้ที่ศูนย์วิจัยพืชสวนตรัง ซึ่งดอกดาหลาสามารถนำไปทำเมนูอาหารและตกแต่งสถานที่ได้อย่างสวยงาม


ที่มา : https://news.mthai.com/economy-news/609428.html

เกษตรกรเมืองตรังปลูก ‘เมล่อน’ ใช้เทคนิคแกะสลักชื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม


เกษตรกรเมืองตรังปลูก ‘เมล่อน’ ใช้เทคนิคแกะสลักชื่อสร้างมูลค่าเพิ่มเกษตรกรเมืองตรังปลูก ‘เมล่อน’ ใช้เทคนิคแกะสลักชื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม รายได้เกือบ 1 แสนบาทต่อรอบการปลูก

   วันที่ 20 เม.ย. 60 ที่สวนสุนทรฟาร์มเมล่อน บ้านเลขที่ 61 บ้านควนเทียม ม.4 ต.ควนเมา อ.รัษฎา จ.ตรัง ลุงสุนทร เอี่ยมอักษร อายุ 68 ปี ใช้พื้นที่บริเวณที่ว่างข้างบ้านใช้พื้นที่จำนวน 6 คูณ 24 เมตร ทำโรงเรือนเพื่อใช้ในการปลูกต้นเมล่อน จำนวน 286 ต้น
        ซึ่งการดูแลผลเมล่อน จะไม่มีสารเคมีใดๆ สามารถตัดจากต้นก็บริโภคได้เลย ไม่ต้องล้างหรือแช่น้ำยาใดๆ ทั้งสิ้น เนื่องจากการรันตีตัวเองได้เป็นอย่างดีว่าปลอดสารพิษ 100 เปอร์เซ็นต์อย่างแน่นอน โดยจะใช้เวลาจนถึงเก็บผลผลิตประมาณ 70 – 75 วัน มีน้ำหนักเฉลี่ย ผลเมล่อน 1 ลูก ประมาณ 3 กิโลกรัม จำหน่ายในราคากิโลกรัมละ 90 บาท ตกลูกละประมาณ 270 บาทขึ้นไป และหากลูกค้าที่สนใจสั่งจองแกะสลักชื่อลงบนผลเมล่อน จะคิดค่าบริการแกะสลักชื่อลูกละ 200 บาท ซึ่งรวมกับราคาของน้ำหนักผลเมล่อนแล้ว ราคาผลเมล่อนตกลูกละประมาณ 500 บาท
  โดยทางเกษตรกรได้ใช้เทคนิคแกะสลักชื่อลงบนผลเมล่อน เพื่อเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเกษตรกรเอง โดยมียอดสั่งจองเป็นจำนวนมาก มีหลากหลายอาชีพทั้งในจังหวัดตรัง และต่างจังหวัด อาทิเช่น เขียนว่า “ทวี ส.ส.ตรัง” “PLE” “SOMBOON” “FOCUS”เป็นต้น ส่วนผลเมล่อนที่ไม่ได้แกะสลักจะนำมาจำหน่ายหน้าฟาร์มเมล่อน และส่งให้กับลูกค้าที่สั่งจองไว้ทางไลน์บ้าง ทางเฟสบุ๊คบ้าง ทางโทรศัพท์บ้าง จากพื้นที่ต่างๆ ทั้งในจังหวัดตรัง จังหวัดใกล้เคียง และจังหวัดนครปฐม จังหวัดราชบุรี
    นอกจากนี้การปลูกเมล่อน ใช้เทคนิคแกะสลักชื่อ เป็นลวดลายต่างๆ โดยเริ่มปลูกและผสมเกสรประมาณ 35 วัน เมื่อออกผลเล็ก ประมาณ 10 วัน ก็เริ่มแกะสลักซื่อ ลวดลาย ตามแบบที่ต้องการ และตามคำสั่งซื้อของลูกค้าที่จอง เมื่อเมล่อนโตเต็มที่จะมีลวดลายบนผิวตามที่แกะสลักไว้
   นอกจากนี้ปัจจุบันประชาชนนิยมหันมารักสุขภาพและเน้นไปทางด้านอาหารที่ลดน้ำหนัก คนรักสุขภาพมากขึ้น จนเมล่อนกลายเป็นผลไม้ที่มีความต้องการทางตลาดค่อนข้างสูงเนื่องจากเมล่อนมีสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญ ในปริมาณสูง มีวิตามินซี วิตามินเอ เบต้าแคโรทีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส และธาตุเหล็ก ไม่มีไขมันและคอเลสเตอรอล อีกทั้งแคลอรี่ต่ำ จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก
        ทางด้านนายสนุทร เอี่ยมอักษร อายุ 68 ปี เกษตรกรสวนเมล่อน กล่าวว่า จากเมล่อนรุ่นแรก ที่ได้ปลูกไป 176 ต้น และรุ่นนี้เป็นรุ่นที่ 2 ได้ปลูกไป 286 ต้น ผลตอบรับในขณะนี้นับว่าเป็นที่พอใจเป็นอย่างมาก หากเทียบกับรุ่นก่อน การปลูกเมล่อนรุ่นนี้ทำให้ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ความรู้ที่ได้จากประสบการณ์พอสมควร ปัญหาเล็กๆน้อยๆ พอที่จะแก้ไขได้ด้วยตนเอง แต่หากตรงไหนที่เกิดปัญหาแก้ไม่ได้ก็จะต้องอาศัยสถาบันส่งเสริมและพัฒนาเกษตรอินทรีย์เพื่อการส่งออก ที่เกี่ยวกับส่งเสริมการเกษตร มาช่วยแก้
   ส่วนราคาขายเมล่อนหน้าฟาร์ม อยู่ที่ราคากิโลกรัมละ 90 บาท 1 ลูก ราคาไม่ต่ำกว่า 200 บาท ซึ่งหากลูกเมล่อนโตเต็มที่จะมีน้ำหนักอยู่ที่ 2.8 – 4 กิโลกรัม มียอดสั่งจองเยอะและสั่งเขียนชื่อไว้หลายๆ ลูก เพื่อนำไปเป็นของขวัญของฝาก มีรับออเดอร์ทางไลน์ มาจาก จ.นครปฐม จ.ราชบุรี สำหรับเมล่อนรสชาติและผล จะออกหวานอมเปรี้ยว ลูกโตสวยเต็มที่ และเป็นผลไม้ด้านสุขภาพ
   ทั้งนี้ยังมีการต่อยอดที่จะทำเป็นศูนย์เรียนรู้เรื่องการปลูกเมล่อนให้แก่ผู้ที่สนใจอยากทำอยากเรียนรู้ ตนยินดีและเต็มใจที่จะถ่ายทอดวิชาให้อีกด้วย เข้ามาจองผลเมล่อนด้วยการสลักชื่อ และวาดรูปลงไปบนผิวเมล่อนให้เป็นลวดลายตามที่ลูกค้าต้องการคิดค่าบริการแกะสลักชื่อในราคาลูก 200 บาท ส่วนผลเมล่อนจะขายในราคากิโลกรัมละ 90 บาท ได้มีลูกค้าเข้ามาเยี่ยมชมและจับจองผลเมล่อน
   พร้อมทั้งยินดีให้คำปรึกษา สำหรับผู้ที่สนใจอยากจะปลูกเมล่อนอย่างไม่หวงวิชาอีกด้วย ส่วนทิศทางการปลูกเมล่อนยังไปได้ดี เพราะเป็นอาหารสำหรับคนรักสุขภาพและค่านิยมตอนนี้มากพอสมควร ส่วนรายได้ในรอบการปลูกครั้งนี้ในระยะเวลา 70-75วัน ประมาณ 286 ลูก คิดเป็นเงินประมาณ 80,000 บาท ซึ่งยังไม่คิดรวมค่าบริการแกะสลักชื่อบนผลเมล่อน ซึ่งมียอดสั่งแกะสลักกว่า 100 ลูก และหากผู้ใดสนใจปลูกและปรึกษาเกี่ยวกับการปลูกเมล่อนสามารถโทรสอบถามได้ที่ 088-5867031 คุณลุงสุนทร เอี่ยมอักษร

‘เคพกูสเบอร์รี่’ พืชเสริมทางเลือกอายุสั้นราคาดี สรรพคุณเพียบ!!

‘เคพกูสเบอร์รี่’ พืชเสริมทางเลือกอายุสั้นราคาดี สรรพคุณเพียบ!!


โครงการหลวงปังค่า จ.พะเยา ส่งเสริมให้เกษตรกรในพื้นที่ปลูก ‘เคพกูสเบอร์รี่’ ออกจำหน่าย เป็นพืชอายุสั้นและราคาดี สรรพคุณเพียบ!!

วันที่ 9 ม.ค.61 นางสั่ว แซ่กู อายุ 40 ปี บ้านเลขที่ 188 หมู่ที่ 7 ตำบลผาช้างน้อย อำเภอปง จังหวัดพะเยา เกษตรที่ปลูกเคพกูสเบอร์รี่ พาผู้สื่อข่าวเข้าชม แปลงปลูกเคพกูสเบอร์รี่ ที่ปลูกไว้ประมาณ 400 ต้น ซึ่งเป็นพืชผักที่เป็นลักษณะผลไม้ ของพวกเขาที่ปลูกทางโครงการหลวงปังค่าได้ส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกไว้ เพื่อจำหน่าย โดยเคพกูสเบอร์รี่ ดังกล่าว ถือเป็นพืชชนิดหนึ่งที่เป็นที่ต้องการของตลาด และจำหน่ายได้ในราคาที่สูง ประกอบเป็นพืชอายุสั้น ทำรายได้รวดเร็ว จึงเริ่มมีผู้สนใจปลูกกันเป็นจำนวนมาก
โดยนางสั่ว เกษตรที่ปลูกเคพกูสเบอร์รี่ ระบุว่า ตนเองปลูกเคพกูสเบอร์รี่จำนวนประมาณ 400 ต้น โดยจะใช้ระยะเวลาในการปลูกประมาณ 2.5 เดือน จึงจะสามารถเก็บผลผลิตได้ ซึ่งจะจำหน่ายให้กับโครงการหลวง ซึ่งในปีนี้ผลผลิตก็ใช้ได้ โดยจะจำหน่ายในราคากิโลกรัมละ 80-100 บาท สำหรับไซร์ เกรด a โยในแต่ละรอบจะสามารถจำหน่ายได้ต่อรอบการผลิตก็ประมาณ 1 แสนกว่าบาท ซึ่งถือเป็นรายได้ที่ดี
   สำหรับการส่งเสริมการปลูกเคพกูสเบอร์รี่ นั้น ทางโครงการหลวงปังค่า ตำบลผาช้างน้อย อำเภอปง จังหวัดพะเยา ได้ทำการเพาะเมล็ดพันธ์ และส่งให้เกษตรกร ทำการปลูก ซึ่งขณะนี้มีเกษตรกรที่ร่วมโครงการ และทำการปลูกประมาณ 15 ราย ประมาณรายละ 1 ไร่ ซึ่งในแต่ละต้นจะสามารถให้ผลผลิตกับเกษตรกรได้เฉลี่ย 3.5 กิโลกรัมต่อต้น และจะมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 80 บาท ต่อกิโลกรัม ซึ่งถือว่าเป็นพืชที่มีอายุสั้น สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรที่รวดเร็ว และเป็นที่ต้องการของตลาด โดยในช่วงนี้เริ่มจะมีการปลูกกันอย่างแพร่หลาย ซึ่งตลาดยังมีความต้องการอีกมาก

‘ไก่ซิลค์กี้’ สัตว์เลี้ยงเทรนด์ใหม่สร้างรายได้ครึ่งแสนต่อเดือน!!


‘ไก่ซิลค์กี้’ สัตว์เลี้ยงเทรนด์ใหม่สร้างรายได้ครึ่งแสนต่อเดือน!!
ไก่ซิลค์กี้‘ และ ‘ไก่โปแลนด์‘ เพราะเจ้าไก่ 2 สายพันธุ์นี้เพิ่งเข้ามาในประเทศไทยและนิยมเลี้ยงกันในช่วง 3 ปี ที่ผ่านมา จนนำไปสู่การทำการตลาดเพาะเลี้ยงจนสามารถสร้างรายได้อันน่าทึ่งได้ ในช่วง ‘เกษตรสร้างรายได้‘ ขอพาทุกท่านไปพบกับคุณศักดา บรรพจุลจินดา หรือคุณนิ้ง อายุ 48 ปี เจ้าของฟาร์ม Doxxa House ตั้งอยู่ใน อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี ซึ่งเปิดเป็นฟาร์มเลี้ยง ‘ไก่ซิลค์กี้’ และ ‘ไก่โปแลนด์’ ส่งขายทั่วประเทศ จากหนุ่มมนุษย์เงินเดือนที่เบื่อกับความจำเจในการทำงานรูปแบบเดิมในออฟฟิศ และอยากให้เวลากับครอบครัวมากขึ้น จึงลองหาสิ่งใหม่ๆ ทำจนเกิดเป็นรายได้

โดยคุณนิ้ง เปิดเผยว่าได้ออกจากงานประจำมาเกือบ 10 ปีแล้ว ก่อนหน้านี้ได้ทำฟาร์มสุนัขพันธุ์ชิวาวา ส่งขายจนสามารถสร้างรายได้ให้กับครอบครัว จนเมื่อถึงจุดอิ่มตัวจึงหันมาศึกษาเรื่องการเลี้ยงไก่และมุ่งไปที่ ‘ไก่ซิลค์กี้’ และ ‘ไก่โปแลนด์’ ซึ่งเป็นไก่สายพันธุ์ต่างประเทศ และที่โดดเด่นคือสายพันธุ์จากประเทศสหรัฐอเมริกา ส่วนการเลี้ยงก็เหมือนกับเลี้ยงไก่ทั่วไปแต่ต้องเน้นเรื่องความสะอาด ความชื้น และเรื่องของยุง


การนำเข้ามาในช่วงแรกของที่ฟาร์มคุณนิ้ง จะนำเข้ามาแบบพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ มูลค่ารวมค่าขนส่งจากต่างประเทศแล้วกว่า 35,000 บาทเลยทีเดียว แต่ข้อเสียของการนำเข้ามาแบบเป็นตัว จะส่งผลไปถึงตัวไก่เอง เนื่องจากจะต้องผ่านขั้นตอนต่างๆ ทั้งการกักตรวจโรค ซึ่งกว่าจะถึงมือผู้ซื้อ ไก่อาจได้รับความเสียหายและไม่สมบูรณ์ก็เป็นได้
คุณนิ้งจึงหันมาสั่งแบบ ‘ไข่ไก่’ ซึ่งจะมีความเสียหายน้อยกว่าราคาอยู่ที่ประมาณกิโลกรัมละ 6,000-7,000 บาท โดยสามารถนำมาฟักด้วยเครื่องอบเองได้ เนื่องจากช่วงที่ขนส่งมานั้นอุณหภูมิจากที่อเมริกาจะค่อนข้างเย็น เชื้อในไข่จึงยังไม่มีการเดิน ฉะนั้นช่วงเดือนที่ควรเลือกซื้อไข่ไก่นั้นควรเป็นช่วงเดือน ธ.ค.-ม.ค. โดยหลังจะได้ไข่ไก่มาแล้วก็นำเข้าตู้อบซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 20-21 วัน ก็จะออกมาเป็นลูกเจี๊ยบ
สำหรับฟาร์มเลี้ยงคุณนิ้งใช้พื้นที่ประมาณ 50 ตารางวา จะทำเป็นกรงแยกเป็นสัดส่วน มีประตูปิดมิดชิดเพื่อป้องกันสัตว์ร้ายต่างๆ อาทิ งู โดยจะใช้แกลบรองพื้นไว้เพื่อดูดกลิ่นจากมูลไก่ รวมถึงความชื้น ซึ่งจะเปลี่ยนทุกๆ 20 วัน สัดส่วนการเลี้ยงจะเฉลี่ยตัวผู้ 1 ตัวเมีย 5 ปัจจุบันมีไก่ไซส์โตที่อยู่ในฟาร์มประมาณ 60 ตัว
ภายหลังจะการฟักไข่แล้วในช่วง 1-2 วันแรกนั้นลูกเจี๊ยบจะยังไม่กินอาหาร เนื่องจากยังมีถุงอาหารติดตัวมาด้วยพอขึ้นวันที่ 3 ก็จะเริ่มกินอาหารสำเร็จได้แล้วซึ่งสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายอาหารสัตว์ในท้องตลาดทั่วไป โดยส่วนผสมของอาหารไก่จะประกอบไปด้วย รำข้าว ปลาป่น และข้าวโพด หากจะเน้นให้ขนไก่ดีและสวยงามก็เน้นอาหารจำพวกโปรตีนที่ฟาร์มคุณนิ้งจะให้เป็นพวกหนอนนก ในระยะเวลา 1 เดือนหลังจากฟักไข่ ก็สามารถนำจำหน่ายได้แล้ว หากต้องการทำเป็นพ่อพันธุ์แม่พันธุ์จะใช้เวลาประมาณ 8 เดือนไก่ก็จะเริ่มมีการผสมพันธุ์แล้ว
สำหรับความแตกต่างระหว่าง ‘ไก่ซิลค์กี้’ และ ‘ไก่โปแลนด์’ เจ้าไก่ซิลค์กี้ ซึ่งชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าจุดเด่นเส้นขนของมันจะคล้ายกับเส้นไหม ขนจะปุกปุยตัวกลมๆ ที่ฟาร์มของคุณนิ้งจะมีอยู่ 5 สี อาทิ สีขาว สีดำ สีทอง สีเทา และสีครีม ส่วนไก่โปแลนด์ จะมีลักษณะมีจุกบนหัว มีหลากหลายสี ทั้งสีกระ สีดำ ขนแบบเรียบ และแบบขนกลับ ส่วนเรื่องโรคที่พบจะป่วยเป็น โรคหวัด โรคสีดาษ อหิวาตกโรค ในช่วงฤดูฝนการออกไข่จะน้อยลง เนื่องจากตัวเมียจะผลัดขน สำหรับฤดูหนาวจะเป็นช่วงที่ออกไข่มากที่สุด
ในส่วนของราคาการซื้อขายนั้นหากเป็นลูกไก่ช่วงอายุ 1 เดือน ไก่ซิลค์กี้ ราคาอยู่ที่ 1,000 บาท ไก่โปแลนด์ ราคาอยู่ 500-2,000 บาท ไก่รุ่น หรือไก่ในช่วงอายุ 3-4 เดือน ราคาจะอยู่ประมาณ 2,500-3,000 บาท และไก่พร้อมผสมจะขายเป็นคู่ คู่ละ 10,000 บาท สามารถสร้างรายได้ต่อเดือนไม่ต่ำกว่า 50,000 บาท เกือบ 90 % ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าจากต่างจังหวัด มารับโดยตรงถึงหน้าฟาร์ม หรือใช้บริการบริษัทขนส่งไก่โดยเฉพาะ
ใครที่สนใจอยากเลี้ยง หรือสอบถามแนวทางการเพาะเลี้ยง สามารถเดินทางไปได้ที่ฟาร์ม Doxxa House หมู่บ้านมิตรประชาวิลล่า ถ.บางกรวย-ไทรน้อย อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี หรือโทรศัพท์สอบถามได้ที่เบอร์ 081-405-2612 (คุณนิ้ง)
  

อาชีพเสริม “เผาถ่านขาย” หลังฤดูทำนา สร้างรายได้ให้เกษตรกรไทย




     ถ่านไม้ ถือเป็นเชื้อเพลิงอย่างดีที่เหมาะสำหรับการนำมาก่อไฟประกอบอาหารปิ้ง ย่าง และอื่นๆ อีกมากมาย ถ่านไม้เป็นสิ่งที่ผู้คนส่วนใหญ่จำเป็นต้องใช้ โดยเฉพาะพ่อค้าแม่ค้าที่ทำอาหารประเภทปิ้งย่างขาย หรือร้านหมูกระทะที่จำเป็นต้องใช้เตาถ่านในการประกอบอาชีพก็มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ถ่านไม้เป็นจำนวนมาก เพราะฉะนั้นจึงถือว่าถ่านไม้เป็นอีกหนึ่งสินค้าทำเงิน ที่ผู้บริโภคจำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวัน
     และวันนี้ ขายอะไรดี จะพาเพื่อนๆ ไปดูอาชีพเสริมหลังฤดูทำนาของเกษตรกรคนหนึ่ง ที่หันมาเผาถ่านขายเพื่อหารายได้เสริมให้กับครอบครัว “คุณลุงเทพ” อาชีพหลักคือเกษตรกรทำนาปลูกข้าว และภายหลังฤดูการทำนาคุณลุงเทพก็จะใช้เวลาว่างเผาถ่านขาย ทำให้คุณลุงมีรายได้เสริมเพื่อนำมาจุนเจือครอบครัวได้ไม่น้อยเลยทีเดียวคะ

13072938_1005914496157497_1744963658_o

เผาถ่านขาย อาชีพเสริมที่น่าสนใจ

คุณลุงเทพ เล่าให้เราฟังว่า เมื่อหมดฤดูทำนา ชาวบ้านหลายคนที่ไม่มีอาชีพเสริมทำก็จะว่างงาน บางคนก็หันไปทำงานที่กรุงเทพฯ หรือบางคนก็หันไปรับจ้างทำอาชีพอื่น แต่คุณลุงเทพก็มีอาชีพเสริมเช่นกัน นั่นคือ การเผาถ่านขายคุณลุงบอกว่า คุณลุงชอบออกไปเก็บไม้ฟืนในป่า ซึ่งต้นไม้ที่นำมาเผาถ่านส่วนใหญ่จะเป็นต้นไม้ที่ตายแล้ว เนื่องจากพายุฝนพัดโค่นต้นไม้จนล้มหรือสาเหตุอื่นๆ ซึ่งคุณลุงก็จะเอารถอีแต๋นออกไปขนไม้มาเผาในเตาดินที่เตรียมไว้
เตาเผาถ่านที่คุณลุงทำ คือ เตาเผาที่ทำมาจากดินเริ่มต้นด้วยการขุดหลุมก่อน แล้วจึงนำดินที่ได้จากการขุดหลุมขึ้นมาผสมน้ำเล็กน้อยให้ดินมีลักษณะเหนียวๆ จากนั้นก็ปั้นให้ได้รูปตามต้องการ คุณลุงบอกว่าเมื่อก่อนนี้ การเผาถ่านทำได้ง่ายมาก เพียงแค่ขุดหลุมตามขนาดที่เราต้องการ จากนั้นก็นำไม้ฟืนลงไปในหลุม นำแกลบมาเทคลุมไม้ฟืนไว้โดยการโรยแกลมไว้บนไม้ฟืนให้ทั่วหลุมเผาถ่าน จากนั้นก็จุดไฟเผา
เตาเผาถ่านที่ปั้นมาจากดิน
เตาเผาถ่านที่ปั้นมาจากดิน
ซึ่งการเผาถ่านแบบนี้มีมานานแล้วแต่การเผาถ่านแบบนี้ต้องใช้เวลานานหลายวัน กว่าไม้ฟืนจะกลายเป็นถ่านก็ประมาณ 3-4 วัน และอีกอย่างคือ หากเราทำเตาเผาประเภทนี้ไว้ใกล้หมู่บ้าน ก็มีความเสี่ยงเป็นอันตรายต่อเด็กๆ ที่ไม่รู้เรื่องเดินมาเหยียบหรือตกหลุมเผาถ่านได้ ต่อมาคุณลุงจึงเปลี่ยนจากหลุมเผาถ่านธรรมดา ให้เป็นเตาดินเผาถ่านแทน เตาดินเผานี้สามารถเผาถ่านได้มากกว่าเตาเผาถ่านแบบเดิม
และยังเผาถ่านได้ผลรวดเร็วกว่าการใช้แกลบเผาอีกด้วย แต่ก็มีหลายคนที่ดัดแปลงเตาเผาถ่านดินให้มีความแข็งแรงมากขึ้น โดยการนำปูนหรืออิฐมอญมาก่อเป็นเตาเผาถ่านแทนการใช้ดินปั้น ทั้งนี้ก็เพื่อให้เตาเผาถ่านมีขนาดใหญ่และมีความทนทานในการใช้งานนานกว่าเดิม ซึ่งการทำเตาดินเผาด้วยอิฐมอญนี้ไม่จำเป็นต้องขุดหลุมให้ลึก สามารถก่ออิฐมอญขึ้นเป็นรูปทรงกลมได้เลย
ภาพประกอบจาก : www.forest.go.th
ภาพประกอบจาก : www.forest.go.th

วิธีทำเตาดินเผา เพื่อใช้ในการเผาถ่าน

  1. ขุดดินให้ลึกพอประมาณ เอาความลึกตามความต้องการของเรา
  2. นำดินที่ได้จากการขุดหลุม นำมาผสมกับน้ำให้ดินมีลักษณะเนียวๆ จากนั้นก็ปั้นให้เป็นรูปทรงกลมหรือทรงรีตามความต้องการ อย่าลืมเจาะรูเพื่อระบายควันออกจากหลุมด้วย ซึ่งใช้เวลาปั้นเตาดินเผานี้ประมาณ 2-3 วัน
  3. ตากแดดทิ้งไว้ให้แห้ง ประมาณ 2-3 วัน ก็นำไม้ฟืนเข้ามาเผาถ่านได้
หมายเหตุ : เตาดินเผาชนิดนี้ ไม่จำเป็นต้องใช้แกลบในการเผาถ่าน ซึ่งสามารถนำไม้ฟืนเข้าไปเผาในเตาได้เลย ซึ่งเตาดินเผาประเภทนี้ค่อนข้างมีควันเยอะ จึงไม่เหมาะที่จะทำเตาเผาประเภทนี้ไว้บริเวณหมู่บ้านหรือย่านชุมชน เหมาะที่จะทำไว้บริเวณทุ่งนา หรือพื้นที่ห่างไกลชุมชน
ในปัจจุบันมีเกษตรกรหลายคนหันมายึดอาชีพเผาถ่านขาย จากอาชีพเสริมกลายเป็นอาชีพหลักทำเงินได้ตลอดทั้งปี อาชีพเผาถ่านขาย จึงเป็นอีกหนึ่งอาชีพเสริมของเกษตรกรไทยที่น่าสนใจมากๆ ไม่ต้องลงทุนเยอะ ขอเพียงมีเรี่ยวแรงในการขนไม้ฟืน ซึ่งไม้ฟืนที่นำมาใช้ในการเผาถ่านก็มีหลายประเภท แต่ไม้ฟืนส่วนใหญ่ที่คุณลุงเทพนำมาเผาถ่านก็คือไม้มะม่วง เพราะบริเวณพื้นที่ป่าของจังหวัดนครราชสีมาที่คุณลุงเทพอาศัยอยู่นั้น อุดมไปด้วยพืชผักผลไม้หลากหลายชนิด แต่ต้นมะม่วงจะเป็นต้นไม้ที่หาง่ายที่สุด เพราะมีความแข็งแรงน้อยกว่าต้นไม้อื่นๆ
13072934_1005913732824240_753240120_o
เมื่อมีพายุดพัดแรงๆ ต้นมะม่วงจะหักโค่นง่ายมาก คุณลุงจึงนิยมนำไม้มะม่วงที่ตายแล้วมาเผาถ่าน อีกทั้งยังไม่ต้องไปโค่นต้นไม้ให้เสียสมดุลป่าอีกด้วย เรียกได้ว่าอาชีพเสริมเผาถ่านขาย ไม่ต้องลงทุนด้วยเงิน แต่ต้องใช้แรงงานเป็นทุนในการทำอาชีพนี้คะ ลูกค้าส่วนใหญ่ที่มาซื้อถ่านของคุณลุง ก็คือพ่อค้าแม่ค้าที่ขายหมูปิ้ง ลูกชิ้นปิ้ง ปลาหมึกย่าง รวมไปถึงชาวบ้านในละแวกนั้นก็มาอุดหนุนถ่านไม้ของคุณลุงเช่นกัน เพื่อนำไปเป็นเชื้อเพลิงก่อไฟประกอบอาหาร เพราะการใช้ถ่านทำให้ประหยัดแก๊สได้เยอะเลยทีเดียวคะ
ถ่านไม้ที่คุณลุงเผาเสร็จแล้ว คุณลุงก็จะนำไปใส่ในถุงพลาสติกไว้จำหน่าย ถุงละ 40 บาท กระสอบละ 300 บาท ซึ่งอาชีพเสริมเผาถ่านขายนี้ จึงถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการทำอาชีพเสริมสร้างรายได้ที่น่าสนใจ ยิ่งเข้าสู่ช่วงฤดูแล้ง การทำนาและผลผลิตของเกษตรกรก็ยิ่งย่ำแย่ลง เพราะฉะนั้น อาชีพเสริม เผาถ่านขายนี้ทำให้เกษตรกรของไทยเรามีรายได้เสริม มีเงินใช้ในครัวเรือนเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้องกันต่อไปคะ
13091784_1005912576157689_581632933_o

ประโยชน์จากถ่านไม้

ผลผลิตถ่านไม้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้มากกว่าที่หลายท่านเข้าใจกันเพียงแต่นำไปใช้เพื่อเป็นเชื้อเพลิงหุงต้มในครัวเรือนเท่านั้น ในประเทศจีน เกาหลี และญี่ปุ่น ซึ่งมีเทคโนโลยีการผลิตถ่านไม้อย่างล้ำหน้าจะสามารถผลิตถ่านขาวหรือ White Charcoal เพื่อใช้ถ่านขาวในเชิงเพื่อสุขภาพโดยเฉพาะช่น ใช้ถ่านขาวใส่ลงในกาต้มน้ำร้อนเพื่อทำน้ำแร่ เพราะถ่านชนิดนี้จะละลายแร่ธาตุต่าง ๆ ออกมาเพิ่มคุณภาพและรสชาติของน้ำร้อน ใช้ชงกาแฟหรือจะใช้ผสมเหล้าวิสกี้ก็จะได้รสชาติที่นุ่มละมุน นี่เป็นตัวอย่างการใช้ถ่านแบบพิเศษในต่างประเทศ
ส่วนในบ้านเราผลผลิตถ่านส่วนใหญ่จะเป็นถ่านดำที่ผลิตภายใต้อุณหภูมิต่ำ ซึ่งไม่เหมาะจะนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิง ปิ้ง ย่างอาหาร แต่ถ่านดำได้เปรียบกว่าถ่านบริสุทธิ์ตรงที่ผลิตได้จำนวนมากกว่า ซึ่งเหมาะแก่การนำไปใช้ทำเชื้อเพลิงอื่นๆ ที่ไม่เป็นการประกอบอาหารโดยตรง เช่น ใช้เป็นแหล่งพลังงานทดแทนเชื้อเพลิงถ่านหินชนิดต่างๆ ซึ่งมักจะมีค่ามลพิษที่สูงมาก แต่อย่างไรก็ดี ถ่านดำที่ผลิตด้วยอุณหภูมิสูงที่เราเรียกว่าถ่านบริสุทธิ์นั้น หากมีปริมาณผลผลิตที่มากพอและคงที่ ก็สามารถนำไปใช้ประโยชน์หลากหลายทั้งในครัวเรือนและระดับอุตสาหกรรมได้ ตามรายงานของชมรมสวนป่า ผลิตภัณฑ์และพลังงานจากไม้ มีดังนี้
13091561_1005914036157543_487877103_o
1. ใช้ประโยชน์ในด้านอุตสาหกรรม
  • ใช้ในระบบกรองและบำบัดอุตสาหกรรมน้ำดื่ม
  • ระบบผลิตน้ำประปา ระบบบำบัดน้ำเสีย
  • ใช้ประโยชน์จากคาร์บอนในอุตสาหกรรมโลหะหรือใช้ขี้เถ้าเพื่อเพิ่มคุณสมบัติของปูนซีเมนต์ ให้แข็งตัวช้า และมีความแข็งแกร่งขึ้น
2. ใช้ประโยชน์ในครัวเรือน
  • ใช้เป็นเชื้อเพลิงก่อไฟเพื่อหุงต้มและประกอบอาหาร
  • ฟอกและปรับอากาศ ใต้เตียงนอน และใต้อาคารบ้านเรือน ช่วยดูดซับความชิ้นในฤดูที่มีความชื้นสูง และคลายความชิ้นในฤดูที่มีความแห้งแล้ง
  • ใส่ในถังข้าวสาร ช่วยกูดกลิ่น ความชื้น ป้องกันมอด และแมลงต่าง ๆ
  • ใส่ในตู้กระจกหรืออ่างเลี้ยงปลา ช่วยเพิ่มออกซิเจนในน้ำ เพิ่มแร่ธาตุ แคลเซี่ยม โพตัสเซี่ยม แมกเนเซี่ยม ฯลฯ ทำให้น้ำใสสะอาด ช่วยเร่งการตกตะกอนของฝุ่นละอองในน้ำ
  • นอกจากนั้นยังใช้ถ่านไม้ไผ่เป็นส่วนผสมหลักของผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพได้อีกมากมายหลายชนิด เช่น สบู่ แชมพู ยาสีฟัน ถ่านเม็ดดูดสารพิษ ฯลฯ
13072256_1005914372824176_582074320_o
3. ประโยชน์ในด้านการเกษตร
  • ใช้เป็นสารปรับปรุงดิน ถ่านไม้จะมีรูพรุนมากมาย เมื่อใส่ถ่านป่นลงในดินจะช่วยปรับสภาพดินให้ร่วนซุย อุ้มน้ำได้ดีขึ้น ส่งผลให้รากพืชขยายตัวอย่างรวดเร็วช่วยลดการใช้ปุ๋ยเพราะสมบัติต่างๆ ของจุลธาตุที่มีอยู่หลายชนิดในแท่งถ่าน จะเป็นประโยชน์ให้แก่พืชที่ปลูก
  • ช่วยรักษาผลผลิตให้สดนานขึ้น ผักและผลไม้จะมีกลไกผลิตก๊าชเอธิลีน (Ethyline) เพื่อทำให้ตัวเองสุก เราสามารถรักษาผลผลิตให้สดนานขึ้นโดยใส่ผงถ่านลงในกล่องบรรจุเพื่อดูดซับก๊าชดังกล่าวไว้ไม่ให้ออกฤทธิ์ผักผลไม้จะยังคงสดอยู่ได้นานถึง 17 วัน โดยไม่เสียหายหรือสุกงอม ปัจจุบันได้มีการนำผงถ่านกัมมันต์ผสมลงในกระดาษที่ใช้ทำกล่องบรรจุผลผลิตเพื่อการนี้แล้ว
  • ถ่านแกลบหรือถ่านชานอ้อย ใช้ทดแทนแกลบรองพื้นคอกสัตว์ซึ่งราคาถูกและหาง่ายพอ ๆ กัน เพื่อหลีกเลี่ยงความร้อนและก๊าซต่าง ๆ อันเป็นสาเหตุหนึ่งของอาการเครียดในสัตว์ส่งผลให้สุขภาพและผลผลิตจากปศุสัตว์มีคุณภาพดีขึ้น
  • ใช้ผสมอาหารสัตว์ นำผงถ่านผสมในอาหารสัตว์ด้วยอัตราส่วนเพียง 1 % ถ่านจะช่วยดูดซับก๊าซในกระเพาะและลำไส้ ช่วยลดอาการท้องอืดเนื่งอจากปริมาณน้ำในอาหารสูงเกินได้โดยไม่เป็นอันตรายต่อสัตว์
  • ปรับปรุงคุณภาพแหล่งน้ำ นำถ่านไม้ใส่กระสอบ (ในปริมาณที่สอดคล้องกับประมาณแหล่งน้ำ) ไว้ที่ก้นบ่อ และจัดให้มีการไหลเวียนน้ำบริเวณกระสอบถ่านนั้น เศษอินทรีย์วัตถุต่างๆ ในน้ำจะถูกย่อยสลายโดยจุลินทรีย์ ที่อยู่ในรูพรุนของถ่าน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพระบบบำบัดน้ำในบ่อเลี้ยงปลาหรือกุ้งได้

ที่มา : https://www.kaiaridee.com/%E0%B9%80%E0%B8%9C%E0%B8%B2%E0%B8%96%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A2.html